เมนูนำทาง
เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ อภิจริยศาสตร์รัสเซลล์ทั้งเขียนและปฏิบัติในการผลักดันให้จริยศาสตร์สมบูรณ์ขึ้นสู่ระดับอุดมคติตามความคิดของท่าน จึงนับว่าเป็นนักจริยศาสตร์ที่สำคัญคนหนึ่ง แต่ในทางทฤษฎีความสำคัญของท่านอยู่ในประเภทอภิจริยศาสตร์ (metaethics) คือตั้งปัญหาค้นคว้าพื้นฐานของหลักจริยศาสตร์โดยตรง เช่น ทำไมหลักจริยธรรมต่าง ๆ กัน ข้อสรุปทางจริยธรรมอนุมานจากข้ออ้างธรรมดา ๆ ได้หรือไม่ เป็นต้น
ในหนังสือ The Elements of Ethics, 1910 (พื้นฐานจริยศาสตร์) รัสเซลมีแนวความคิดแบบปรนัยเกี่ยวกับหลักความดีความชั่ว โดยถือว่า ดี – ชั่ว เป็นคุณลักษณะปรนัยไม่ขึ้นต่อความคิดเห็นของเรา เช่นเดียวกับกลมหรือเหลี่ยม เมื่อคนสองคนมีความเห็นต่างกันว่าอะไรดี จะมีคนเดียวเท่านั้นที่คิดถูก แม้เป็นการยากที่จะรู้ว่าคนไหนถูก แต่ความยากนี้จะใช้เป็นข้อพิสูจน์ลบล้างความเป็นปรนัยหาได้ไม่รัสเซลมีความเห็นเหมือนมัวร์ เกี่ยวกับวิบัติทางธรรมชาตินิยม (naturalistic fallacy) ว่า ความรู้เกี่ยวกับว่าอะไรมีอยู่บ้าง ได้มาบ้าง หรือจะมีอะไรต่อไป ไม่สามารถให้ความกระจ่างแก้ปัญหาว่าประพฤติอย่างไรจึงเป็นคนดี
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2464 (ค.ศ. 1921) เป็นต้นมา รัสเซลเปลี่ยนแนวความคิดเป็นอัตนัยนิยม โดยแถลงว่า ถ้าสองคนคิดต่างกันเกี่ยวกับคุณค่า มิใช่ว่าความคิดของเขาขัดแย้งกันเรื่องความจริง แต่เป็นเรื่องของรสนิยมต่างกัน
อัตนัยนิยมของรัสเซลล์ เป็นไปในทางรูปทฤษฎีอาเวค (emotive theory) คือ ถือว่าข้อตัดสินทางศีลธรรม (moral judgement) และกฎจริยธรรมทั้งหลายมิใช่เป็นคำสั่งจริง ๆ แต่เป็นเพียงการแสดงความปรารถนาของผู้พูด (expression of desire) เช่น เมื่อข้าพเจ้ากล่าวว่าเกลียดชังกันเป็นสิ่งเลว ความจริงข้าพเจ้าต้องการจะกล่าวว่า ขออย่าให้มีการเกลียดกันเลย ข้าพเจ้ามิได้ยืนยันอะไร ข้าพเจ้าเพียงแต่แสดงความปรารถนาออกมาอย่างหนึ่งเท่านั้น
รัสเซลแยกความปรารถนาออกเป็นสองประเภท คือ ความปรารถนาส่วนตัว (personal desire) และความปรารถนาส่วนรวม (impersonal desire) หลักจริยธรรมเป็นความปรารถนาประเภทหลัง คือ ปรารถนาให้เป็นกฎเกณฑ์ทั่ว ๆ ไป รัสเซลยกตัวอย่างดังนี้ กษัตริย์องค์หนึ่งตรัสว่า “กษัตราธิปไตยดีกว่าสาธารณรัฐ” ถ้าพระองค์ตรัสด้วยหลักการและเชื่อมั่นว่าสังคมต้องการเช่นนี้จริง ๆ ก็เป็นความปรารถนาส่วนรวม เป็นหลักจริยธรรม อย่างไรก็ดี ในความปรารถนาส่วนรวมก็มีความปรารถนาส่วนตัวรวมอยู่ด้วย เช่น ความปรารถนาในฐานะที่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นความปรารถนาส่วนตัว แต่เป้าหมายของความปรารถนาเป็นความปรารถนาส่วนรวม
รัสเซลหาสาเหตุของความหลายหลากในมาตรการจริยะ พบว่าความคิดเห็นแตกต่างกันมากมายในมาตรการตัดสินดี-ชั่วนั้น เนื่องมาจากการไม่สามารถลงรอยกันในเรื่องจุดหมายของการกระทำของมนุษย์ รัสเซลอ้างตัวอย่างเช่น คริสต์ศาสนาสอนว่าบุคคลแต่ละคนเป็นจุดหมายในตัวเอง แต่นิตเช่อ้างว่าคนธรรมดามีจุดหมายอยู่ที่อภิมนุษย์ เป็นต้น นอกจากนั้น ความเห็นขัดแย้งกันในเรื่องวิธีปฏิบัติก็เป็นสาเหตุอยู่ไม่น้อย เมื่อรวมทั้งสองเข้าด้วยกันแล้ว ความขัดแย้งก็มากมายหลายแง่เหลือเกิน ยากที่จะเป็นปรนัยได้ จึงเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิงที่จะหาข้อพิสูจน์ว่าอะไรมีค่าภายใน เราไม่สามารถพิสูจน์ให้คนตาบอดเข้าใจได้ว่าหญ้าเป็นสีเขียวหรือสีแดง แต่มีวิธีที่จะพิสูจน์ให้เขาทราบว่า เขาไม่มีสมรรถภาพแยกสีซึ่งคนมีมาก ในการพิสูจน์เรื่องคุณค่า เราไม่มีวิธีดังกล่าว แม้จะหาวิธีหนึ่งเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีความแตกต่างในเรื่องคุณค่าก็ยังหาไม่ได้ เราจึงต้องยอมรับข้อสรุปว่าความแตกต่างในเรื่องคุณค่าเป็นเรื่องของรสนิยม ไม่ใช่ เรื่องของความจริงปรนัย
รัสเซลมีความมั่นใจว่า ศาสนาเป็นอุปสรรคต่อความเจริญและความสุขอันแท้จริงของมนุษย์ จึงถือโอกาสโจมตีและชักชวนให้คนทิ้งศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใด ๆ ทั้งสิ้น รัสเซลสารภาพความในใจปี ค.ศ. 1922 ว่า “ตัวข้าพเจ้าเองไม่เห็นด้วยกับศาสนาใดเลยในโลก และข้าพเจ้าหวังว่าความเชื่อทุกอย่างทางศาสนาจะจางหายไปสิ้น... ข้าพเจ้าคิดว่าศาสนาเป็นเรื่องของระดับปัญญามนุษย์ในระยะเริ่มแรก ซึ่งปัจจุบันพ้นระยะไปแล้ว” (Secpitcal Essays)
ต่อมาในปี พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) รัสเซลออกรายการทางโทรทัศน์ ก็ยังย้ำความคิดเดิมว่าถ้ามนุษย์ยังต้องดิ้นรนต่อสู้กับความยากลำบากในชีวิตอยู่ตราบใด ศาสนาจะยังคงมีอยู่ต่อไป แต่ถ้ามนุษย์เราสามารถแก้ปัญหาทางสังคมได้เสร็จสิ้น ศาสนาก็จะสูญหายไปทันที
รัสเซลถือว่าข้อพิสูจน์ที่แล้ว ๆ มา ไม่พอยืนยัน แต่ก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าไม่มีพระเจ้าและวิญญาณ รัสเซลเองมีความโน้มเอียงที่จะคิดว่าไม่น่าจะมี ในทางปฏิบัติแล้วต้องนับว่าเป็นเรื่องไม่ควรเสียเวลาค้นคว้า วิญญาณของเราไม่น่าจะมีอะไรมากไปกว่ากิจกรรมของสมอง
“โลกนี้น่าขยะแขยง” (The world is horrible) เพราะเป็นอยุติธรรมมีอยู่มากเหลือเกิน แต่โลกของเราน่าเกลียดน้อยลง หากเราพยายามตั้งหน้าหาความจริงกันอย่างจริงจังจนพบความจริงมากขึ้น เพราะจะมีความยุติธรรมมากขึ้นในหมู่มนุษย์ตามส่วนที่มนุษย์พบความจริง
คราวนี้ลองปฏิเสธประโยคที่เป็นไปได้ทั้ง 3 ประโยคนั้นจะได้ประโยคตรงข้ามว่า
จะเห็นได้ว่าไม่มีประโยคใดบ่งข้อเท็จจริงเลย เราไม่สามารถรู้ได้ว่าบ่งถึงผู้ใดในโลก รู้แต่เพียงว่าคุณลักษณะรวม ๆ ของผู้เขียนเวเวอร์เลย์เข้าได้กับคุณลักษณะของชาวสกอตแลนด์เท่านั้น4 คำบ่งถึงอะไร สามานยนามในภาษาอุดมการณ์ของรัสเซลเป็นการสร้างทางตรรกะ (logical construction) นั่นคือเป็นผลิตผลของมนัสของเรา โดยที่มนัสของเราสามารถจัดประสบการณ์เฉพาะหน่วยเข้าเป็นกลุ่ม เช่น คนได้แก่กลุ่มของ ก ข ค ฯลฯ คนแต่ละคนไม่มีส่วนที่เรียกว่า สารัตถะหรือ สาระของคน สาระของคนมิได้มีจริงแต่เป็นเพียงการสร้างทางตรรกะโดยการรวมกลุ่มของปรากฏการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับคน
เมนูนำทาง
เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ อภิจริยศาสตร์ใกล้เคียง
เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ เบอร์ทรันด์ บูร์ลีห์แหล่งที่มา
WikiPedia: เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ http://russell.mcmaster.ca/~bertrand/ http://www.100welshheroes.com/en/biography/bertran... http://www.gutenberg.org/author/Bertrand+Arthur+Wi... http://www.russfound.org/